วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

"การบังคับใช้กฏหมาย : พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 "
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ประกาศใช้แล้ว และมีผลบังคับใช้ในวันที่
18 ก.ค.2550 เป็นต้นมา นั้น

สรุปสาระสำคัญในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 27 ก วันที่ 18 มิถุนายน 2550 และจะมีผลบังคับใช้ เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น โดยมีสาระสำคัญและข้อสังเกตในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถสรุปได้ ดังนี้

1.ร่างกฎหมายเดิม จำกัดอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ กล่าวคือ จะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าพนักงานตาม พระราชบัญญัตินี้เท่านั้น แต่ พระราชบัญญัติที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษามิได้ระบุข้อความดังกล่าวเอาไว้แล้ว แสดงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ได้แต่ไม่สามารถใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตาม มาตรา18 ได้ ต้องใช้อำนาจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อดำเนินการที่เกี่ยวข้องแทน 2.ความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ ส่วนใหญ่เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายเดิม ในลักษณะความผิดที่ไม่สามารถนำประมวลกฎหมายอาญา มาปรับใช้ได้ ได้แก่- การบุกรุกเข้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ( มาตรา 5 โทษจำคุกไม่เกิน หกเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การนำมาตรการป้องกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไปเผยแพร่โดยมิชอบ ( มาตรา6 โทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ( มาตรา 7 โทษจำคุกไม่เกิน สองปี หรือ ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งโดยมิชอบ ได้แก่ การติดตั้งโปรแกรม Sniffer เพื่อดักขโมยข้อมูล ของผู้อื่นในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( มาตรา 8 โทษจำคุกไม่เกิน สามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ทั้งหมด หรือบางส่วน ของผู้อื่น โดยมิชอบ ได้แก่การเปลี่ยน หน้าเว็บเพจของผู้อื่น ( มาตรา 9 โทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การกระทำโดยมิชอบเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือ รบกวนจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อันได้แก่ การทำ DDoS Attack (Distributed Denial of Service) ( มาตรา 10 โทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)- การส่ง Spam Mail หรือ ส่งอีเมล์รบกวนในลักษณะปิดบังตนเอง ( มาตรา 11 ปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท)- การกระทำความผิดตาม มาตรา 9 และ มาตรา 10 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน หรือ ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ อันได้แก่ การติดตั้ง BotNet ลงในระบบแม่ข่ายเป้าหมาย และทำให้เกิดการแพร่กระจายไวรัส ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต้องรับโทษหนักขึ้น ตาม มาตรา 12- การจำหน่าย หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตาม มาตรา 5 - 11 ( มาตรา 13 จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)- การนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ( เช่น การทำ Phishing ) อันเป็นเท็จ (เช่น ส่งเมล์หลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อว่าถูกรางวัลให้โอนค่าธรรมเนียมมาให้) อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง หรือที่มีลักษณะลามก ( มาตรา 14 จำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดโทษสำหรับความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตัดต่อภาพ ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ เพียงมาตราเดียวของ พระราชบัญญัติฉบับนี้
ข้อสังเกต ความผิดในการเผยแพร่ภาพลามก และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตัดต่อภาพ มีความซ้ำซ้อนกับประมวลกฎหมายอาญาที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีการกำหนดโทษสำหรับฐานความผิดการครอบครองภาพลามกเด็กเอาไว้

3.เจ้าพนักงานมีอำนาจขอข้อมูลจากผู้ให้บริการได้ ตาม มาตรา 18 (1)-(3) โดยไม่ต้องขอหมายศาล ส่วนการทำสำเนาข้อมูล สั่งให้ส่งมอบอุปกรณ์ เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถอดรหัสข้อมูล การยึดอายัด ตาม มาตรา 18 (4)-(8) ต้องขอหมายศาล

4. มาตรา 21 ห้ามมิให้เจ้าพนักงานเปิดเผยข้อมูลที่ได้ตาม มาตรา 18 ยกเว้นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัตินี้เท่านั้น หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีที่กระทำโดยประมาท จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่ล่วงรู้ข้อมูลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตาม มาตรา 18 และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้นในคดีที่เกี่ยวพันกับคดีอาญาทั่วไป เช่น จำหน่ายยาเสพติด, การพนัน, จ้างวานฆ่า เป็นต้น แม้ว่าตรวจสอบพบก็ไม่สามารถเปิดเผยเพื่อขยายผลได้ หากจำเป็น ต้องร้องขอต่อศาลให้อนุญาตก่อนเท่านั้น 5.พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน ซึ่งผู้ให้บริการตามพระราชบัญญัตินี้ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือ ให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จึงมีความหมายกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์ธรรมดา โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์แบบเติมเงิน ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ตลอดจนการให้บริการ อินเทอร์เน็ตไร้สายในลักษณะ Hot Spot ตามห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานศึกษา รวมถึงสถานที่ราชการด้วยเช่นกัน
*** หากไม่จัดเก็บ หรือจัดเก็บในลักษณะที่ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลได้ (เฉพาะในส่วนที่ตนรับผิดชอบ) มีโทษปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท

6.ผู้ให้บริการที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม มาตรา 18 , มาตรา 20 , มาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

7.การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำประกาศคุณสมบัติพนักงานเจ้าหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ จะมีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจในการรับคำร้องทุกข์ ตลอดจนมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ส่วนการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ดังนั้น คดีที่เกี่ยวพันกับคดีอาญาทั่วไป พนักงานเจ้าที่ตาม พระราชบัญญัติจะไม่สามารถดำเนินคดีได้

8.จากการประชุมร่วมกัน เพื่อจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงระหว่างหน่วยงาน มีแนวโน้มว่า เพื่อป้องกันการสับสนของประชาชน จะให้ประชาชนแจ้งความตามสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศเช่นเดียวกับคดีอาญาทั่วไป โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจร้องขอผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตาม พระราชบัญญัตินี้ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีความพร้อมก็สามารถดำเนินการรับแจ้งความ ตลอดจนสอบสวนดำเนินคดีเองได้

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ( ข้อมูล )

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติความเป็นมา


คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นหน่วยงานในกำกับของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยการยกร่างหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (ศศ.บ.)สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตร 4 ปี) ในปีพุทธศักราช 2543-2544 ภายใต้ชื่อ "โครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม" เปิดรับนิสิตรุ่นแรก ในระบบพิเศษและระบบพิเศษโดยวิธีเทียบเข้า ในเดือนมิถุนายน 2544 ปีการศึกษา 2544 มีนิสิตรุ่น 1 จำนวน 185 คน มีอาจารย์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอน จำนวน 11 คน มีนายธเนศ ศรีสถิตย์ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง โครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการคณบดี ต่อมาโครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติการจัดตั้ง "คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม" (Faculty of Tourism and Hotel Management) ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 10/2547 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 และอนุมัติให้ใช้ระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคามว่าด้วยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม พุทธศักราช 2547 ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายธเนศ ศรีสถิตย์ ดำรงตำแหน่งคณบดี คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม

ในปีการศึกษา 2547 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการเปิดสอนตามหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต พุทธศักราช 2544 สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตร 4 ปี) มีนิสิตรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,096 คน อาจารย์ จำนวน 16 คน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอนจำนวน 14 คน และมีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นบัณฑิตรุ่นที่ 1 (ชบาช่อที่ 1) จำนวน 116 คน

ปีพุทธศักราช 2549 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรใหม่ จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) และได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 คณะฯ ได้ดำเนินการเปิดสอนนิสิตระดับปริญญาตรี (หลักสูตรนานาชาติ ) ในปีการศึกษา 2550 มีนิสิต รุ่นที่ 1 จำนวน 13 คน

และใน ปีพุทธศักราช 2549 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา 1 หลักสูตร ได้แก่หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต(ศศ.ม.) สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2550) พุทธศักราช 2550 (ศศ.ม.) ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรปรับปรุงพุทธศักราช 2550) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549

ปีพุทธศักราช 2549-2550 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม พุทธศักราช 2544 และได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรปรับปรุงพุทธศักราช 2550) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550

ปีพุทธศักราช 2550 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(ปร.ด.) สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2550) โดยสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรนี้แล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมได้ดำเนินการเปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษาในปีการศึกษา 2550 พร้อมกันทั้ง 2 หลักสูตร โดยมีนิสิตระดับบัณฑิตศึกษารุ่นที่ 1 จำนวน 25 คน

ปัจจุบันคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม จัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี 2 หลักสูตรได้แก่หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรปรับปรุง พุทธศักราช 2550) และหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) ระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(ปร.ด.) สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่พุทธศักราช 2550) และหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต(ศศ.ม.) สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) มีนิสิตรวมทั้งสิ้น จำนวน 2,215 คน จำแนกเป็น ระดับปริญญาตรีจำนวน 2,158 คน ระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 57 คน บุคลากร จำนวน 55 คน จำแนกเป็น บุคลากรฝ่ายวิชาการ จำนวน 36 คน บุคลากรฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอน จำนวน 19 คน

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม

http://www.uploadtoday.com/download/?450275&A=740747

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

JST Japan Time